เมฆ

น้ำในบรรยากาศในรูปแบบต่างๆ
    น้ำตามมหาสมุทรทะเลแม่น้ำลำคลองเมื่อได้รับความร้อนจะระเหยกลายเป็นไอน้ำปนในอากาศตลอดเวลา และอยู่ในรูปต่างๆ เช่น เมฆ หมอก ลูกเห็บ ฝน เป็นต้น



เมฆ


   คือละอองที่เกิดจากการกลั่นตัวของไอน้ำ น้ำที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าเล็กละเอียดและเบาล่องลอยอยู่ในระดับสูง ไอน้ำที่ควบแน่น เป็นละอองน้ำ (โดยปกติแล้วจะมีขนาด 0.01 มม)หรือเป็นเกล็ดน้ำแข็งซึ่ง เมื่อเกาะตัวกันเป็น กลุ่มจะเห็นเป็นก้อนเมฆ ก้อนเมฆนี้สะท้อนคลื่นแสงใน  แต่ละความยาวคลื่นในช่วงที่ตามองเห็นได้ในระดับที่ เท่าๆ กันจึงทำให้เรามองเห็นก้อนเมฆนั้นเป็นสีขาวแต่ก็สามารถมองเห็นเป็นสีเทา หรือสีดำถ้าหากเมฆนั้นมี ความหนาแน่นสูงมากจนแสงผ่านไม่ได้



ดูเมฆที่สวยที่สุดในโลก



แบ่งตามรูปร่างของเมฆ


   เมฆนั้นแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ แบบเป็นชั้น (layered) ในแนวนอนและ แบบลอยตัวสูงขึ้น (convective) ในแนวตั้ง, โดยจะมีชื่อเรียกว่า สตราตัส (stratus ซึ่ง หมายถึง ลักษณะเป็นชั้น) และ คิวมูลัส(cumulus ซึ่ง หมายถึง ทับถมกันเป็นกอง) ตามลำดับ
นอกจากนี้แล้วยังมีคำที่ใช้ในการบอกลักษณะของเมฆ
  • สตราตัส (stratus) หมายถึง ลักษณะเป็นชั้น
  • คิวมูลัส (cumulus) หมายถึง ลักษณะเป็นกองสุม
  • ซีร์รัส (cirrus) หมายถึง เมฆชั้นสูง
  • อัลโต (alto) หมายถึง เมฆชั้นกลาง
  • นิมบัส (nimbus) หมายถึง ฝน

แบ่งตามระดับความสูง

    เมฆยังอาจแบ่งเป็น 4 กลุ่มตามระดับความสูงของเมฆโดยระดับความสูงของเมฆนี้จะวัดจากฐานของก้อน เมฆไม่ ได้วัดจากยอด โดย Luke Howard เป็นผู้นำเสนอวิธีการแบ่งกลุ่มแบบนี้ แก่ Askesian Society ในปี ค.ศ. 1800



                                                                                                      




เมฆระดับสูง (ตระกูล A)


  ก่อตัวที่ความสูงมากกว่า 16,500 ฟุต ( 5,000 เมตร) ในบริเวณที่อุณหภูมิต่ำ ในชั้นบรรยากาศโพสเฟียร์ที่ ความสูงระดับนี้น้ำส่วนใหญ่นั้น จะแข็งตัวดังนั้นเมฆจะประกอบด้วย ผลึกน้ำแข็งเมฆในชั้นนี้ส่วนใหญ่มักจะมี ลักษณะเป็นก้อนเล็ก ๆ และมักจะค่อนข้างโปร่งใสเมฆในกลุ่มนี้จะมีชื่อนำหน้าด้วย ซีร์ (cirr)


ชนิดของเมฆ


  ซีร์รัส (cirrus - Ci) :Cirrus , Cirrusuncinus , CirrusKelvin - Helmholtz เป็นเมฆที่ก่อตัวอยู่ ในระดับสูงที่สุดมีลักษณะเป็นเส้นๆคล้ายใยไหมหรือเป็นริ้วบางๆหยิกหยองเป็นปอยเหมือนขนนก  หรือบางครั้ง มองเห็นเป็นริ้วโค้งๆยาวพาดกลางท้องฟ้าลอยตัวอยู่ในบรรยากาศระดับสูงมากบนท้องฟ้าอุณหภูมิของอากาศบน นั้นหนาวจัดจนเมฆชนิดนี้ประกอบด้วย ผลึกน้ำแข็งขนาดจิ๋วแทนที่จะเป็นหยดน้ำบางครั้งอาจเรียกว่าเมฆหางม้า เพราะกระแสลมแรงจัด เบื้องบนพัดจนกลุ่มเมฆกระจายออกเป็น ริ้วโค้งๆ เหมือนกับหางของม้าเมฆซีร์รัสเป็นที่ ปรากฏอยู่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าบ่งบอกว่าข้างบนโน้นมีลมแรงจัดมากเมฆ ชนิดนี้เป็นสัญญาณแสดงว่าอากาศแปร ปรวน และอากาศอาจกำลังกำลังเลวลง








  ซีร์โรคิวมูลัส (cirrocumulus - Ccเกิดจากผลึกน้ำแข็งเป็นเมฆสีขาวโปร่งแสงบางครั้งจะปรากฏวง แหวนสีสวยงามขึ้นในเมฆซีร์โรสตราตัส หรือเมฆอัลโทรเตรตัสที่อยู่สูงๆ มีฐานสูงเฉลี่ย 7,000 เมตร มีลักษณะ เป็นเกล็ดบางๆ หรือเป็นละอองคลื่นเล็กๆ อยู่ติดกันบางตอนอาจแยกจากกันแต่จะอยู่เรียงรายกันอย่างมีระเบียบ โปร่งแสงอาจมองเห็นดวงอาทิตย์ หรือดวงจันทร์ได้







  ซีร์โรสตราตัส (cirrostratus - Cs) เกิดจากผลึกน้ำแข็งเป็นเมฆสีขาวโปร่งแสง บางครั้งจะปรากฏวง แหวนสีสวยงามขึ้นใน เมฆซีร์โรสตราตัส หรือเมฆอัลโทรสตราตัสที่อยู่สูงๆมีฐานสูงเฉลี่ย 8,500 เมตรมีลักษณะ เป็นแผ่นเยื่อบางๆโปร่งแสงเหมือน ม่านติดต่อกันเป็นแผ่นในระดับสูง








เมฆระดับกลาง (ตระกูล B)


    ก่อตัวที่ความสูงระหว่าง 6,500 และ 16,500 ฟุต (ระหว่าง 2,000 และ 5,000เมตร เมฆจะประกอบด้วย ละอองน้ำ และละอองน้ำเย็นยิ่งยวด ชื่อของเมฆในชั้นนี้จะนำหน้าด้วยอัลโต (alto)


ชนิดของเมฆ:


   อัลโตคิวมูลัส (altocumulus - Ac): Altocumulus, Altocumulus undulatus, Altocumulus mackerel sky, Altocumulus castellanus, Altocumulus lenticularis มีลักษณะอยู่เป็นกลุ่มๆคล้ายฝูงแกะ มีสีขาวบาง ครั้งสีเทา มีการจัดตัว เป็นแถวๆหรือเป็นคลื่น เป็นชั้นๆ มีเงาเมฆมีลักษณะเป็นเกล็ด เป็นก้อนม้วนตัว (roll) อาจ มี 2 ชั้นหรือมากกว่าขึ้นไป อาจเกิดพระอาทิตย์ทรงกลด(corona) ลอยเป็นแพ มีช่องว่างระหว่างก้อนเล็กน้อย ก้อนเมฆมีขนาดใหญ่กว่าเมฆซีร์โรคิวมูลัส ปรากฎเป็นสีขาวชัดเจน บางครั้งด้านล่างอาจเปลี่ยนเป็นสีเทา เมื่อ ขยายตัวขึ้นจนปกคลุมท้องฟ้าเป็นบริเวณกว้าง จะบดบังดวงอาทิตย์จนทำให้ฟ้ามืดได้ด้วยอิทธิพลของกระแสลม ภายในมวลอากาศเย็น เมื่ออากาศร้อนสัมผัสกับส่วนบนของมวลอากาศเย็นจะก่อตัวขึ้นมากด้วยอิทธิพลของคลื่น บรรยากาศขนาดเล็ก จะทำให้ขยายตัวแผ่กว้างออกเป็นรูปเข็มขัดหรือรูปวงคลื่นผิวน้ำมักจะเห็นการจัดเรียงตัว ของเมฆ และช่องว่างเป็นแนวแถวด้วยเหตุนี้จึงมักถูกเรียกว่าเป็นเมฆแผ่นดินไหว หรือเมฆที่บ่งบอกถึงลางร้าย อะไรบางอย่าง






  อัลโตสตราตัส (altostratus - As): Altostratus, Altostratus undulatus มีลักษณะเป็นแผ่นหนาบางสม่ำ เสมอ ในชั้นกลางของบรรยากาศมองดูเรียบ เป็นปุย หรือฝอยละเอียด แผ่ออกเป็นพืดเป็นลูกคลื่นปกคลุมเต็ม ท้องฟ้า มีสีเทา หรือน้ำเงินอ่อน และอาจมีบางส่วนที่พอที่แสงอาทิตย์จะส่องผ่านลงมายังพื้นดินได้อาจมีแสง ทรงกลดเมฆแผ่นหนา ส่วนมากมักมีสีเทา เนื่องจากบังแสงดวงอาทิตย์ไม่ให้ลอดผ่าน  และเกิดขึ้นปกคลุมท้อง ฟ้า เป็นบริเวณกว้างมาก หรือปกคลุมท้องฟ้าทั้งหมดหรือเมฆที่ลอย ปกคลุมท้องฟ้าเป็น สีขาวเทาลอยอยู่ที่ ระดับความสูงประมาณ ๒-๗ กิโลเมตร และมักปกคลุมทั่วท้องฟ้า ถ้ามีอยู่บางๆอาจทำให้เกิดร่มขึ้นกับ อาทิตย์ และดวงจันทร์ แต่โดยทั่วไปแล้วจะเหมือนกับมองผ่านกระจกกรองแสงทำให้เห็นดวงอาทิตย์ได้ไม่ชัด เจน ตรงจุดนี้ทำให้เรามองแล้วแยกเมฆชนิดนี้ออกจากเมฆซีร์โรสตราตัสได้ชัดเจน ถ้าเมฆอัลโตสตราตัสหนาขึ้น จะทำให้บริเวณโดยรอบมืดจนยากที่จะเห็นเงา





 






เมฆระดับต่ำ (ตระกูล C)


   ก่อตัวที่ความสูงต่ำกว่า 6,500 ฟุต (2,000เมตร) และรวมถึงสตราตัส(stratus)เมฆสตราตัสที่ลอยตัวอยู่
ระดับพื้นดิน เรียก หมอก


ชนิดของเมฆ:

   สเตรตัส (Stratus - St) มีลักษณะเป็นแผ่นหนาๆสม่ำเสมอในชั้นต่ำของบรรยากาศ ใกล้ผิวโลกเหมือนหมอก มีสีเทามองไม่เห็นดวงอาทิตย ์หรือดวงจันทร์ไม่ทำให้เกิดวงแสง (Halo) เว้นแต่เมื่อมีอุณหภูมิต่ำมากก็อาจเกิด ได้





   สเตรโตคิวมูลัส (Stratocumulus-Sc) มีสีเทาลักษณะอ่อนนุ่มเป็นก้อนกลมเรียงติดๆกันทั้งทางแนวตั้ง และ ทางแนวนอนทำให้มองเห็นเป็นลอนเชื่อมติดต่อกันไป



 



   นิมโบสเตรตัส (Nimbostratus-Ns) มีลักษณะเป็นแผ่นหนาสีเทาดำเป็นแนวยาวติดต่อกัน แผ่กว้างออกไปไม่ เป็นรูปร่างเป็นเมฆที่ทำให้เกิดฝนตกจึงเรียกกันว่า "เมฆฝน" เมฆชนิดนี้จะไม่่มีฟ้าแลบฟ้าร้อง เกิดเฉพาะในเขต อบอุ่นเท่านั้น








เมฆแนวตั้งตระกูล D (Vertical Clouds)


   เป็นเมฆที่มีแนวก่อตัวในแนวตั้ง ซึ่งทำให้เมฆมีความสูงจากฐาน


ชนิดของเมฆ


   คิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus - Cb): Cumulonimbus, Cumulonimbus incus, Cumulonimbuscalvus ,Cumulonimbuswithmammatus ลักษณะเป็นเมฆก้อน ใหญ่รูปร่างคล้ายภูเขาใหญ่ มียอดเมฆแผ่ออกเป็นรูป ร่างคล้ายทั่ง(an vil) ฐานเมฆต่ำ มีสีดำมืด เป็นเมฆหนา มืดทึบ มีฟ้าแลบ ฟ้าร้องอาจอยู่กระจัดกระจาย หรือรวม กันอยู่น้อย มักมีฝนตกลงมา เรียกเมฆชนิดนี้ว่า "เมฆฟ้าคะนอง"เมฆแนวตั้งขนาดใหญ่มหึมา ซึ่งเกิดจากกระแส ลมลอยสูง ส่วนยอดเมฆอาจสูงมากจนขึ้นไปถึงบรรยากาศชั้นสตราโทสเฟียร์ได้ ด้วยรูปร่างใหญ่โตในแนวตั้ง ของเมฆคิวมูโลนิมบัส จึงถือเป็นเมฆที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเมฆทั้งหมด ความสูงตั้งแต่ยอดเมฆถึงฐาน เมฆอาจมากกว่า ๑ หมื่นเมตร บางครั้งอาจเรียกว่า เมฆสายฟ้า สาเหตุการณ์เกิดเมฆคิวมูโลนิมบัสขึ้นนั้นมีอยู่ หลายสาเหตุ บางครั้งก็เกิดจากกระแสลมลอยสูงของสภาพถ่ายเทความร้อน เนื่องจากความแตกต่างของ อุณหภูมิิบริเวณใกล้พื้นดินกับบริเวณที่สูงขึ้นไปที่เกิดขึ้นโดยความไม่มีเสถียรภาพของบรรยากาศ บางครั้งก็ยัง ได้รับอิทธิพลจากภูมิประเทศด้วย ดังนั้นโดยส่วนมากเมฆคิวมูโลนิมบัสจะเกิดในช่วงฤดูร้อนที่มีความแตกต่าง ระหว่างอุณหภูมิบริเวณใกล้พื้นดินกับบนท้องฟ้าเพิ่มสูงขึ้น แต่ที่ฝั่งทะเลของญี่ปุ่นในฤดูหนาวก็อาจเกิดเมฆคิวมู โลนิมบัสเนื่องจากลมมรสุมที่พัดแรงได้เมฆคิวมูโลนิมบัสโดยทั่วไปแล้วจะเกิดจากการขยายตัวของเมฆคิวมูลัส ลัสธรรมดา เมฆรูปทั่งนี้ก่อตัวขึ้นด้วยผลึกน้ำแข็ง โดยความดันต่ำในบริเวณใกล้ๆ     
   เหตุผลที่เมฆขยายตัวออกด้านข้างอยู่ที่บริเวณโทรโพเพาส์โดยไม่่ผ่านเข้าไปยังชั้นสตราโทสเฟียร์เพราะ อุณหภูมิ ของโทรโพสเฟียร์ส่วนบนกับสตราโทสเฟียร์ส่วนล่างนั้นต่างกัน คือที่โทรโพสเฟียร์ส่วนบน อุณหภูมิิ ประมาณ -๗๐ องศาเซลเซียส ในขณะที่ชั้นสตราโทรสเฟียร์ได้รับอิทธิพลจากชั้นโอโซนทำให้อุณหภูมิสูงกว่า ความแตกต่างของอุณหภูมินี้ทำให้ยอดเมฆไม่สามารถผ่านเข้าไปยังชั้นสตราโทสเฟียร์ได้ เมฆคิวมูโลนิมบัสใน ขณะที่กำลังเกิดเป็นรูปทั่งนี้คือรูปร่างที่กำลังโตเต็มที่ จะมีกิจกรรมต่างๆมากมายเช่นเกิดฝนฟ้าคะนองเมื่อเมฆคิว
มูโลนิมบัสปกคลุมท้องฟ้า บริเวณนั้นจะถูกบดบังแสงอาทิตย์จนมืด บางครั้งอาจทำให้ดูเหมือนกลางคืนทั้งที่ยัง กลางวันอยู่ ภายในเมฆจะเกิดการถ่ายเทอากาศอย่างรุนแรง กระแสลมที่พัดมายังพื้นดินนั้นอาจก่อให้เกิดลม กระโชก  และเกิดเมฆรูปกรวยซึ่งตามมาด้วยพายุทอร์นาโด




    เมฆคิวมูลัส (Cumulus) ลักษณะเป็นเมฆก้อนหนา มียอดมนกลมคล้ายกะหล่ำดอก เห็นขอบนอกได้ชัดเจน ส่วนฐานมีสีค่อนข้างดำ ก่อตัวในทางตั้งกระจัดกระจาย เหมือนสำลีถ้าเกิดขึ้นเป็นหย่อมๆหรือลอยอยู่โดดเดี่ยว แสดงถึงสภาวะอากาศดี แดด จัดถ้ามีขนาดก้อนเมฆใหญ่ก็อาจมีฝนตกภายใต้ก้อนเมฆลักษณะเป็นฝนเฉพาะแห่ง
และเป็นเมฆที่ปรากฏให้เห็นในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส บางทีก็เรียกว่าเมฆฝ้าย รูปร่างเหมือนขนมสายไหมด้านบนมี
ลักษณะเป็นก้อนขรุขระส่วนด้านล่างราบเรียบ ก่อตัวขึ้นที่ระดับความสูง ๕๐๐-๒๐๐๐ เมตร แต่อาจพบเห็นได้ที่ ที่ระดับความสูงอื่นอีกด้วย
   เมฆคิวมูลัสจะขยายตัวขึ้นตอนช่วงบ่าย ส่วนใหญ่จะหายลับไปตอนเย็น แต่บางครั้งอาจขยาย ต่อไปถ้ามีแสง แดดแรงๆ ในช่วงที่เกิดใหม่จะมีลักษณะแบน เรียกว่าเมฆฮิวมิลิส แต่จะค่อยๆโตขึ้นเป็นลักษณะอย่างเมฆคิวมูลัส ที่เห็นทั่วไปซึ่งเรียกว่าเมฆเมดิโอคริส เมื่อโตขึ้น ยอดเมฆอาจสูงมากกว่า ๑๐กิโลเมตรเป็นเมฆคิวมูลัสขนาด ใหญ่เรียกว่า เมฆคอนเจสตัส ถ้าเมฆคิวมูลัสขนาดใหญ่นี้ยังคงพัฒนาขึ้นไปอีกจะกลายเป็นเมฆคิวมูโลนิมบัสและ ทำให้เกิดฝนตกใหญ่ และฟ้าผ่า บางครั้งก็อาจเกิดพายุหมุนหรือลูกเห็บตก เมฆคิวมูลัสที่แตกตัวออกเป็นฝอยๆ จะเรียกว่าเมฆแฟรคตัส








สีของเมฆ


    สีของเมฆนั้นบ่งบอกถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเมฆ เมฆเกิดจากไอน้ำลอยตัว ขึ้นสู่ที่สูงเย็นตัวลง และ ควบแน่นเป็นละอองน้ำขนาดเล็ก ละอองน้ำเหล่านี้มีความ หนาแน่นสูง แสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องทะลุผ่านไป ได้ไกลภายในกลุ่มละอองน้ำนี้ จึงเกิดการสะท้อนของแสง ทำให้เราเห็นเป็นก้อนเมฆสีขาวในขณะที่ก้อนเมฆ กลั่นตัวหนาแน่นขึ้นละอองน้ำเกิดการรวมตัวขนาดใหญ่ขึ้น จนในที่สุดตกลงมาเป็นฝนในระหว่างกระบวนการนี้ ละอองน้ำในก้อนเมฆซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นจะมีช่องว่างระหว่างหยดน้ำมากขึ้น ทำให้แสงสามารถส่องทะลุผ่านไป ได้มากขึ้น ซึ่งถ้าก้อนเมฆนั้นมี ขนาด ใหญ่พอ และช่องว่างระหว่างหยดน้ำนั้นมากพอแสงที่ผ่านเข้าไปก็จะถูกซึม ซับไปในก้อนเมฆ และสะท้อนกลับออกมาน้อยมากซึ่งการซึมซับ และการสะท้อนของแสงนี้ส่งผลให้เราเห็นเมฆ ตั้งแต่ สีขาว สีเทา ไปจนถึงสีดำ

สีของเมฆที่ใช้ในการบอกสภาพอากาศ:


   เมฆสีเขียวจางๆ นั้นเกิดจากการกระเจิงของแสงอาทิตย์ เมื่อตกกระทบน้ำแข็ง เมฆคิวมูโลนิมบัสที่มีสีเขียว นั้นบ่งบอกถึงการก่อตัวของ พายุฝน พายุลูกเห็บ ลมที่ รุนแรง หรือ พายุทอร์นาโด




   เมฆสีเหลืองไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยครั้ง แต่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงช่วงต้นของฤดูใบ ไม้ร่วง ในช่วงที่เกิดไฟป่าได้ง่ายสีเหลืองนั้นเกิดจาก ฝุ่น ควันในอากาศ




   เมฆสีแดง สีส้ม หรือ สีชมพู นั้นโดยปกติเกิดในช่วง พระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตกเกิดจากการกระเจิง ของแสงในชั้นบรรยากาศไม่ได้เกิดจากเมฆโดยตรง เมฆเพียงเป็นตัวสะท้อนแสงนี้เท่านั้น ในกรณีที่มีพายุฝน ขนาดใหญ่ในช่วงเดียวกัน จะทำให้เห็นเมฆเป็นสีแดงเข้มเหมือนสีเลือดเมฆ เกิดจากการรวมตัวหรือเกาะกลุ่ม ของไอน้ำในที่สุดก็จะเกิดการควบแน่นและตกลงมาเป็นฝน































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น